วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เหยือกกับชีวิต




         ชายหนุ่มคนหนึ่งได้รับเชิญจากมหาวิทยาลัยเอกชน เพื่อนให้เป็นวิทยากรพิเศษสอนวิชาปรัชญาให้กับนักศึกษาปริญญาโท เขาเตรียมการสอนอยู่หลายวันจึงตัดสินใจจะสอนนักศึกษาเหล่านั้นด้วยแบบฝึดหัดง่าย ๆ แต่แฝงไว้ด้วยข้อคิด เขาเดินเข้าห้องเรียนมาพร้อมด้วยของสองสามอย่างบรรจุอยู่ในกระเป๋าคู่ใจ เมื่อได้เวลาเรียน เขาหยิบเหยือกแก้วขนาดใหญ่ขึ้นมาแล้วใส่ลูกเทนนิสลงไปจนเต็ม
"พวกคุณคิดว่าเหยือกเต็มหรือยัง?" เขาหันไปถามนักศึกษาปริญญาโทแต่ละคนมีสีหน้าตาครุ่นคิดว่าอาจารย์หนุ่มคนนี้จะมาไม้ไหนก่อนจะตอบพร้อมกัน"เต็มแล้ว..."

        เขายิ้มไม่พูดอะไรต่อหันไปเปิดกระเป๋าเอกสารคู่ใจ หยิบกระป๋องใส่กรวดออกมาแล้วเทกรวดเม็ดเล็กๆ จำนวนมากลงไปในเหยือกพร้อมกับเขย่าเหยือกเบา ๆ กรวดเลื่อนไหลลงไปอยู่ระหว่างลูกเทนนิสอัดจนแน่นเหยือก เขาหันไปถามนักศึกษาอีก "เหยือกเต็มหรือยัง?" นักศึกษามองดูอยู่พักหนึ่งก่อนจะหันมาตอบ"เต็มแล้ว..." เขายังยิ้มเช่นเดิม หันไปเปิดกระเป๋าหยิบเอาถุงทรายใบย่อมขึ้นมาเททรายจำนวนไม่น้อยใส่ลงไปในเหยือก เม็ดทรายไหลลงไปตามช่องว่างระหว่างกรวดกับลูกเทนนิสได้อย่างง่ายดายเขาเทจนทรายหมดถุง เขย่าเหยือกจนเม็ดทรายอัดแน่นจนแทบล้นเหยือกเขาหันไปถามนักศึกษาอีกครั้ง "เหยือกเต็มหรือยัง?" เพื่อป้องกันการหน้าแตกนักศึกษาปริญญาโทเหล่านั้นหันมามองหน้ากันปรึกษากันอยู่นานหลายคนเดินก้าวเข้ามาก้มๆเงย ๆ มองเหยือกตรงหน้าอาจารย์หนุ่มอยู่หลายครั้ง มีการปรึกษาหารือกันเสียงดังไปทั้งห้องเรียน .....จวบจนเวลาผ่านไปเกือบห้านาที หัวหน้ากลุ่มนักศึกษาจึงเป็นตัวแทนเดินเข้ามาตอบอย่างหนักแน่น "คราวนี้เต็มแน่นอนครับอาจารย์" "แน่ใจนะ" "แน่ซะยิ่งกว่าแน่อีกครับ"

        คราวนี้เขาหยิบน้ำอัดลมสองกระป๋องออกมาจากใต้โต๊ะแล้วเทใส่เหยือกโดยไม่รีรอไม่นานน้ำอัดลมก็ซึมผ่านทรายลงไปจนหมดทั้งชั้นเรียนหัวเราะฮือฮากันยกใหญ่เขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี "ไหนพวกคุณบอกว่าเหยือกเต็มแน่ๆ ไง" เขาพูดพลางยกเหยือกขึ้น "ผมอยากให้พวกคุณจำบทเรียนวันนี้ไว้ เหยือกใบนี้ก็เหมือนชีวิตคนเรา ลูกเทนนิสเปรียบเหมือนเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิต เช่น ครอบครัว คู่ชีวิต การเรียน สุขภาพ ลูก และเพื่อน สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่คุณต้องสนใจจริง สูญเสียไปไม่ได้.......เม็ดกรวดเหมือนสิ่งสำคัญรองลงมา เช่น งาน บ้าน รถยนต์ ทรายก็คือเรื่องอื่นๆ ที่เหลือเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราจำเป็นต้องทำ แต่เรามักจะหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเล็กๆ น้อย ๆเหล่านี้....เหยือกนี้เปรียบกับชีวิตของคุณ ถ้าคุณใส่ทรายลงไปก่อน คุณจะมัวหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเล็กๆน้อยๆอยู่ตลอดเวลา
ชีวิตเต็มแล้ว...เต็มจนไม่มีที่เหลือให้ใส่กรวด ไม่มีที่เหลือใส่ให้ลูกเทนนิสแน่นอน..." 


"...ชีวิตของคนเราทุกคน..ถ้าเราใช้เวลาและปล่อยให้เวลาหมดไปกับเรื่องเล็กๆ น้อย ๆ เราจะไม่มีที่ว่างในชีวิตไว้สำหรับเรื่องสำคัญกว่า... เพราะฉะนั้นในแต่ละวันของชีวิตเราต้องให้ความสนใจกับเรื่องที่ทำให้ตัวเราและครอบครัวมีความสุข ใช้ชีวิตเล่นกับลูก ๆ หาเวลาไปตรวจร่างกาย พาคู่ชีวิตกับลูกไปพักผ่อนในวันหยุด พากันออกกำลังกายเล่นกีฬาร่วมกันสักชั่วโมงสองชั่วโมง เพื่อสุขภาพและความสัมพันธ์ที่ดีในชีวิต เราต้องดูแลเรื่องที่สำคัญที่สุดจริง ๆ ดูแลลูกเทนนิสของเราก่อนเรื่องอื่นทั้งหมด..." "...หลังจากนั้นถ้ามีเวลาเหลือเราจึงเอามาสนใจกับสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบ ๆตัวเรา..." นักศึกษาคนหนึ่งยกมือขึ้นถาม "แล้วน้ำที่อาจารย์เทใส่ลงไปล่ะครับ หมายถึงอะไร?" เขายิ้มพร้อมกับบอกว่า "การที่ใส่น้ำลงไปเพราะอยากให้เห็นว่า
ไม่ว่าชีวิตของเราจะวุ่นวายสับสนเพียงใด ในความสับสนและวุ่นวายเหล่านั้น คุณยังมีที่ว่างในความสับสนวุ่นวายเสมอแ


credit : zazana.com

วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ความรักของ คนสองคน..



 โรงเรียนแห่งหนึ่ง..   มีเพื่อนต่างเพศอยู่คู่หนึ่ง เป็นเพื่อนที่รักกันมาก

ฝ่ายชายจะเดินไปส่งฝ่ายหญิงที่บ้านเสมอทุกวัน

เวลาผ่านไป จนทั้ง สองอยู่ มหาวิทยาลัย


ฝ่ายหญิงเริ่มไปแอบชอบ ผู้ชายคนนึง และได้ถามเพื่อนชายว่า

"นี่ เธอ ว่า เค้าเหมาะกับเราไหม"

"เค้าก้อ หล่อดีนะ นิสัยก็ดีด้วย "

"เหรอ! อืม อยากให้เค้ามานั่งอยู่ข้างๆ เราจังเลยเนอะ"


ต่อมาไม่นาน หญิงสาวก็ได้เป็นแฟน กับผู้ชายคนนั้นจริงๆ

วันนึงหญิงสาวบอกกับ เพื่อนชายของตนว่า

"นี่ เธอ ไม่ต้องมาส่งเราทุกวันแล้วแหละ ตอนนี้เค้าจะมาส่งเราแล้ว

เราไม่อยากให้ เค้าเข้าใจ ผิดน่ะ"

"อืม" ฝ่าย ชายตอบรับ และเขาก็ไม่ได้ไปส่งหญิงสาวอีก

ต่อมาหญิงสาวเกิดทะเลาะกับแฟน ของตน


จึงมาปรึกษาเพื่อนชาย

ว่า

"เธอ! เด๋ว นี้เขาไม่ค่อยสนใจเราเลยแหละ

เธอว่า... เราจะทำอย่างไร ดีหล่ะ!"

"ก้อ เธอ ยังรักเค้าอยู่หรือป่าวหล่ะ" ฝ่ายชายถาม

"ก้อรักสิ และก้อรักมากด้วย"

"ถ้าอย่างนั้น ก็มอบความรักให้เขาต่อไปสิ ก้อเธอรักเค้านี่หน่า"

"อืม ม" หญิงสาวทำตามคำแนะนำของเพื่อนชาย

หลังจากนั้น ... วันหนึ่ง


ระหว่างที่เพื่อนชายหนุ่ม เดินกลับบ้าน เค้าเห็นหญิงสาว

นั่งร้องไห้อยู่ข้างทาง

"เธอ เป็น อะไรหน่ะ ทำไมถึงร้องไห้ มีอะไรให้เราช่วยไหม"

"เค้าไม่ รักเราเลยหล่ะ เขาเปลี่ยนไป

เด๋วนี้เขาไม่เคยมาส่งเรา ที่บ้านเลย"

"แล้วเราจะ ช่วยอะไรเธอได้บ้างหล่ะ"

"ช่วยอยู่ กับเราซักพักได้ไหม?" หญิงสาวร้องขอ


ก้อได้ซิ! ทำไมจะไม่ได้หล่ะ

ทั้งสองได้นั่งอยู่ด้วยกัน โดยไม่พูดจาอะไรกันเลย

ในที่สุดหญิงสาวก็เอ่ย ขึ้นมาว่า

"เราควรจะ ทำอย่างไรดี เธอจะช่วยบอกเราได้ไหม

ว่าเราควรจะทำอย่างไรดี"

"เธอยังรัก..เขาอยู่หรือป่าวหล่ะ"

"รักสิ เรา รักเค้ามากเลย"

"แต่เค้า ไม่รักเราเลยนี่หน่า" หญิงสาวร้องไห้โฮ

"แต่เธอก็รัก..เขาไม่ใช่เหรอ"

และชายหนุ่มก็ไปส่งหญิงสาว ที่บ้านอย่างที่เคยทำมาแต่ก่อน

"ถ้า เมื่อไหร่...ก็ตาม


ที่เธออยากให้เรามาส่งเธอที่บ้าน อย่าลืมเรียกเรา นะ"

"อืม" และ หญิงสาวก็เดินขึ้นบ้านไป



ต่อมาวันหนึ่งชายหนุ่มได้ รับโทรศัพท์จากหญิงสาว

"เราไม่ไหวแล้ว ช่วยมารับเราที"

เสียงของหญิงสาวดูช่าง อ่อนล้า และหมดกำลัง

เธอกำลังร้องไห้อย่างฟูมฟายอยู่

ชายหนุ่มได้ไปหาเธอและพาเธอมาส่งบ้าน

เธอยังคงถามชายหนุ่มนั้น เหมือนที่เคยถามมา ...

"เราจะทำอย่างไรต่อไปดี"


เราไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว..ดูยังไง ๆ เขาก็เหมือนไม่ได้รักเราเลย

"แล้วเธอเลิก รักเค้าแล้วเหรอ"

"ป่าว! เรา ยังรักเค้ามาก เรายังรักเขาอยู่เหมือนเดิม"

"งั้นก็ เหมือนที่เราเคยพูดไว้

จงรักเขาต่อไป..แม้มันจะเจ็บบ้างก็ตาม

เพราะมันไม่สำคัญหรอกว่า เขาจะรักเธอไหม..? แต่ถ้าเธอยังรักเขา

เธอก็คงทำได้แค่เพียงรักเขา...และจงรักเขาให้มากกว่าเดิม

เพื่อแสดงให้เขารู้ว่าเธอรักเขามาก และก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

มีแต่เพิ่มมากขึ้น"

อือ ม..แล้วหญิงสาวก็เดินขึ้นบ้านไป




และในที่สุดวันที่เธอเรียนจบก็มาถึง

เพื่อนชายหนุ่มของเธอมาแสดงความยินดีกับเธอ

เธอรู้สึกแปลกใจมาก ที่เพื่อนชายหนุ่มของเธอ ยังเรียนไม่จบ

เธอถามเขาว่า ทำไม..?

ชายหนุ่มตอบว่า เขาขี้ เกียจไปหน่อย

ทำให้เขาต้องเรียนซ้ำวิชา หนึ่งจึงยังเรียนไม่จบ

หญิง สาวแปลกใจ เพราะตลอดมา ชายหนุ่มคนนี้เป็นคนขยัน

แต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรต่อ..

และต่อมาไม่นานแฟนของหญิงสาว ก็ได้มาขอเธอแต่งงาน

เนื่องด้วยเห็นถึงความรัก ที่หญิงสาวมีให้


หญิงสาวจึงได้ไปชวนเพื่อนชาย เพื่อให้มางานแต่งของเธอ

"เราไม่ว่างจริงๆ เราติดธุระน่ะ! ขอโทษด้วยนะ"



เพื่อนชายตอบเธอด้วยน้ำ เสียงแผ่วเบา

หญิงสาวโกรธและเสียใจที่ เพื่อนชายไม่ยอมมางานแต่ง จึงวางหูกระแทกไป

แต่หญิงสาวก็ต้องประหลาดใจ เมื่อวันที่เธอแต่งงาน

ชายหนุ่มได้มาปรากฎตัวก่อนที่งาน แต่งจะจบลง

"ยินดีด้วย นะ เรามาแล้วหล่ะ"

หญิงสาวดีใจมากที่เห็นเพื่อนชาย ของเธอมา

ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม

เธอรู้สึกมีความสุขมาก ถึงกับกลั้นน้ำตาไม่ให้มันไหลออกมาไม่ได้

และเพื่อนชายก็พูดว่า เธอมีอะไรให้เราช่วยไหม..?

ยิ่งทำให้เธอร้องไห้หนักกว่าเดิม..

...........................

ต่อมาหญิงสาวก็มีความสุข กับชีวิตแต่งงานของเธอ

จนไม่มีเวลาได้ติดต่อกับเพื่อนชายอีกเลย

จนวันหนึ่งหญิงสาวได้ ทะเลาะกับสามีของตน

หญิงสาวไม่รู้จะไปปรึกษาใคร จึงนึกถึงเพื่อนชายขึ้นมา

แม้ว่าหญิงสาวจะโทรไปหาเท่าไหร่?

ก็ไม่สามารถติดต่อกับชายหนุ่มคนนั้นได้เลย

เขาจึงโทรไปหาเพื่อนของชายหนุ่มคนนั้น

เพื่อนของชายหนุ่มเล่า ว่า ชายหนุ่มเป็นโรคร้าย เขาไม่สามารถไปไหนได้

ตอนนี้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล... มาร่วมหลายเดือนแล้ว

หญิงสาวตกใจมาก ถามว่า..เขาเป็นอะไร?

เพื่อนชายหนุ่มบอกว่า อาการเขากำเริบ เพราะวันที่ชายหนุ่มต้องมาผ่าตัด


ชายหนุ่มดัน ...หายตัว ไปเฉย ๆ โดยไม่มีใครรุ้

และเพื่อนของชายหนุ่ม ก็ยังบอกอีก ว่า ..."มันเป็นนิสัยเสียของมันหน่ะ

มันชอบหายตัวไปไหนก็ไม่รู้ ในช่วงเวลาสำคัญๆ

คราวที่แล้วตอนสอบไล่ มันก็หายตัวไปจากห้องสอบเฉยเลย"

ไม่รู้มันหายไปไหน..ถามใคร ก็ไม่มีใครรู้

หญิงสาวตกใจมาก เลยขอที่อยู่ของโรงพยาบาลที่ชายหนุ่มรักษาตัว

หญิงสาวไปเยี่ยมชายหนุ่ม ที่โรงพยาบาล เมื่อเปิดประตูเข้าไป

ก็ต้อง ตกใจ ! ชายหนุ่มที่เคยดูแข็งแรง กับผอมซูบ ไม่มี แรง

เมื่อชายหนุ่มเห็นเธอก็ดีใจ ทักทาย

เธอเป็นการใหญ่

"เป็นอย่าง ไรมั่ง ไม่เจอกันตั้งนานเลยน่ะ"

หญิงสาวนิ่งเงียบซักพัก น้ำตาหญิงสาวก็ไหลออกมา


"อ้าวร้อง ไห้ทำไมหล่ะ เธอหน่ะ ไปทะเลาะกับแฟนมาอีกแล้วเหรอ

จะให้เราช่วยอะไรไหม...?

แต่เราก็คงจะแนะนำเธอ ได้เหมือนเดิมนะ"

หญิงสาวเข้าไปหาชายหนุ่ม แล้วก็บอกกับชายหนุ่มว่า



วันที่เธอ มารับเราเป็นวันสอบไล่เธอใช่ไหม..?"

ชายหนุ่มทำหน้าตกใจและไม่กล้าพูดอะไรทั้งสิ้น กลับนิ่งเงียบไป

หญิงสาวจึงพูด ต่อ...



"และวันที่ เธอต้องผ่าตัดใหญ่ เธอกลับมางานแต่งงานของเราใช่ไหม..?"

ชายหนุ่มไม่รู้จะพูดอะไร อีกแล้ว กลับนิ่งเงียบกว่าเดิม



หญิงสาวเข้าไปกอดชายหนุ่ม แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ

"ตลอดเวลา เรารักแต่คนอื่น

มองแต่คนอื่นเรากลับไม่รู้เลยว่าเธอรักเรามากแค่ ไหน

เรารู้สึกเสียใจจริงๆ ที่ ไม่ได้รักเธอมากกว่านี้"

ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มแล้วก็บอก

กับหญิงสาวด้วยเสียงอันแผ่วเบาว่า




"เราบอกเธอ แล้วไง..ถ้าเรารักใครสักคน เราก็ต้องรักเขาให้มากๆ

และมากขึ้นกว่าเดิม

มันไม่สำคัญหรอก..ว่าเขาจะรักเราหรือไม่

มันสำคัญแค่เพียงว่า..เรายังรักเธออยู่หรือเปล่า

แค่เราสามารถช่วยเธอได้ นั่นมันก็เป็นความสุขของเราแล้ว

ต่อให้เราจะเจ็บสักแค่ไหน..เราก็ยังรักเธอต่อไป

และไม่เคยคิดจะเปลี่ยนแปลง..




หญิงสาวรู้สึกเสียใจมาก นั่งร้องไห้โฮ...อยู่ที่ตักของชายหนุ่ม



ชายหนุ่มจึงพูด... พูด...ขึ้น ว่า
"ถ้าเราหาย เมื่อไหร่... เราจะไปส่งเธอที่บ้านอีกนะ "


เครดิต zazana.com







วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

หัดให้อภัยผู้อื่น

ให้อภัย


มีงานวิจัยระบุว่า การยกโทษให้คนอื่นมีผลดีต่อตัวคุณเอง อย่างน้อยก็ทำให้คุณมีความสุขมากขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมอารมณ์โกรธ มีความไว้วางใจผู้อื่นมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยทำให้สุขภาพจิตแข็งแรง ซึ่งย่อมส่งผลดีต่อสุขภาพกายแน่นอน
ถ้าคุณจะอยากให้อภัย แต่ดูมันช่างยากเย็นเสียจริงๆ ลองปฏิบัติตามคำแนะนำนี้ดูซิ แล้วคุณจะได้รู้จักกับคำว่า "อภัย"

1. นึกถึงเรื่องที่ทำให้เสียใจ หลายคนพยายามปฏิเสธเรื่องที่คนอื่นกระทำต่อเราเพราะเชื่อว่าถ้าไม่คิดก็จะไม่โกรธ แต่ถ้าต้องเจอหน้าคนที่ทำให้คุณต้องเจ็บปวดใจทุกวันคุณอาจรู้สึกหงุดหงิดรำคาญจนทนไม่ได้ ดังนั้นเมื่อนึกถึงเรื่องนี้พยายามอย่าให้ความโกรธ ความรู้สึกสงสารตัวเองหรือความเชื่อที่ว่าผู้อื่นจะมาขอโทษเอง มาบิดเบือนความคิดของคุณ


2. มองด้วยสายตาผู้อื่น ลองนึกดูว่า ผู้ที่ทำให้คุณเจ็บใจอาจมีความกดดันบางอย่าง ลองเขียนจดหมายโดยสมมติว่าคุณเป็นคนๆ นั้น เขาหรือเธอจะอธิบายการกระทำนั้นๆ อย่างไร การมองในมุมอื่นอาจทำให้เราพิจารณา และเข้าใจการกระทำนั้นได้ง่ายและยอมรับได้มากขึ้น


3. พิจารณาตัวเอง คุณเคยทำร้ายหรือทำให้เพื่อนหรือคนในครอบครัวโกรธบ้างไหม ลองนึกย้อนดูว่าคุณเองรู้สึกอย่างไรเมื่อพวกเขายกโทษให้ การทบทวนความรู้สึกสำนึกผิดและความรู้สึกขอบคุณที่เขาไม่โกรธ อาจช่วยให้คุณอยากปฏิบัติเช่นเดียวกันต่อคนที่เคยทำให้คุณเสียใจ


4. บอกคนที่คุณให้อภัย บอกเขาว่าคุณไม่โกรธแล้ว หรืออาจเขียนไว้ในกระดาษหรือในสมุดบันทึก บางครั้งคุณอาจนึกถึงเรื่องที่เคยทำให้ช้ำใจ และความเป็นจริงคุณก็ยังไม่อยากจะยกโทษให้ แต่คุณหลีกเลี่ยงความรู้สึกเช่นนี้ได้หากมีเครื่องเตือนใจในการให้อภัย


5. ยึดมั่นในการให้อภัย ความทรงจำอันเจ็บปวดไม่อาจลบเลือน เช่นเดียวกับไม่มีใครทำอะไรได้ถูกใจเราไปซะทุกอย่าง คุณค่าของความพยายามที่จะให้อภัยใครสักคน ความรู้สึกขมขื่นอาจจะหวนคืนมาบ้าง ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ หากเป็นเช่นนั้น คุณควรทบทวนดูข้อความที่ใช้เตือนใจและนึกถึงการให้อภัยที่คุณเคยให้และได้รับจากผู้อื่น


พระท่านบอกว่า เมื่อไรที่เราโกรธก็เหมือนเรากำลังวางระเบิดตัวเอง ระเบิดที่พร้อมจะเผาผลาญทุกอย่างให้ลุกเป็นไฟ และมอดไหม้โดยไม่เหลือร่องรอยเดิม

ให้อภัยซะ… ชีวิตคนเราไม่ได้ยืนยาวนักหรอก

credit : zazana.com

วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ศิลปะการบอกปฏิเสธ

การทำงาน
            สภาพแวดล้อมในการทำงานที่เลวร้ายที่สุด คือ การมีประเด็นปัญหาที่ไม่ได้แก้ไข เพราะไม่มีใครที่กล้าพอที่จะพูดออกมาตรง ๆ การบอกปฏิเสธจึงถือเป็นการสร้างสรรค์ที่สำคัญอย่างหนึ่ง แต่ต้องทำอย่างมีศิลปะ...ต่อไปนี้คือแนวทางบางประการของการบอกปฏิเสธอย่างมีศิลปะ

            บอกทันที ถ้าคุณกำลังจะบอกปฏิเสธ บอกมันออกมาทันที ยิ่งใครบางคนคิดว่าเธอจะได้คำตอบรับนานเท่าไหร่ คำปฏิเสธก็จะยิ่งเลวร้ายมากขึ้นเท่านั้น
      
           ปฏิเสธไอเดีย ไม่ใช่บุคคล นี่อาจเป็นเรื่องง่าย ๆ เพียงแค่การใช้คำอื่นแทนคำว่า "คุณ" เช่น  "ฉันไม่คิดว่าวิธีการนี้จะดีเท่ากับอีกวิธีหนึ่ง" แทนจะพูดว่า "ฉันไม่คิดว่าไอเดียของคุณจะได้ผลนะ"
      
            เรียนรู้วิธีการพูด ทุกองค์กรมีวัฒนธรรมของตัวเอง และการพูดคำว่า "ไม่" ก็ย่อมต่างกัน ในบริษัทใหม่ ๆ สิ่งสำคัญ คือ ความรวดเร็ว ฉะนั้น อะไรก็ตามที่เร็วที่สุด รวมทั้งความตรงไปตรงมาที่อาจหยาบคายในที่อื่น จะถือว่าดีที่สุด คุณสามารถบอกว่า "ไม่ ฉันไม่ชอบไอเดียนี้" และจะไม่มีใครตีโพยตีพายเกินกว่าเหตุ

           แต่ในองค์กรการกุศล ซึ่งงานส่วนใหญ่ทำโดยอาสาสมัครที่ต้องรู้สึกประทับใจจึงจะทำงานต่อไปได้เรื่อย ๆ คำปฏิเสธควรจะบอกอย่างอ้อม ๆ "ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมคุณชอบไอเดียนี้ แต่นี่คือวิธีการที่ฉันอยากจะทำ" ซึ่งก็หมายความว่า "ฉันเกลียดไอเดียนี้ แต่ไม่อยากให้คุณหงุดหงิด" ยิ่งคุณพูดได้ใกล้เคียงกับวัฒนธรรมของแต่ละองค์กรมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งง่ายขึ้นมากเท่านั้นที่คนอื่นจะฟังคุณ
      
           เรียนรู้ว่าเมื่อไหร่ควรจะหยุด บางครั้งเมื่อเราบอกว่าไม่ เรามักจะตามด้วยคำอธิบายที่มากมายจนเกินไป ด้วยความหวังว่าจะช่วยให้คนอื่นไม่หงุดหงิด แต่ความจริงก็คือคนเราไม่อยากได้ยินคำว่าไม่ ไม่ว่าคุณจะอธิบายยังไงก็ตาม ก็ไม่อาจทำให้มันจบลงไปได้ บ่อยครั้งสิ่งที่ดีที่สุดทีคุณทำได้ก็คือการบอกว่า "เสียใจนะคะ แต่ฉันคิดว่าไอเดียนี้คงไม่ได้ผลหรอก" แล้วก็ก้าวต่อไปยังเรื่องอื่นราวกับมันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ซึ่งโอกาสที่เป็นไปได้ก็คือ มันจะไม่กลายเป็นเช่นนั้น



 credit : zazana.com
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
lisa

วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ช่วงหนึ่ง ของกาลเวลา

เวลา


ช่วงหนึ่ง.. ของกาลเวลา 
เสียงเข็มวินาที ดังเคลื่อนดุจปลิดกาลเวลาทิ้งให้เหลือเพียงความว่างเปล่า  วันวานหลุดร่วง กลายเป็นอดีตที่เกลื่อนกราดในความทรงจำบ้างทับถม จนกลายเป็นตะกอนก้อน ประสบการณ์ นำพาคุณประโยชน์บ้างก็เป็นเพียง เศษเสี้ยว เรื่องราวในอดีต ที่ล่องลอยมิลืมเลือน

หนึ่งช่วงเวลา ที่ผ่านปัจจุบัน ย่อมกลายเป็นอดีตในความจำแต่วันเวลา ช่วงหนึ่ง กลับดูคลายปัจจุบัน ตลอดเวลา มิกลายเป็นอดีต  ทั้งที่เข็มนาฬิกามิเคยหยุดนิ่ง และลำแสงแห่งตะวันยังคงเคลื่อนคล้อย
จวบจน เมื่อทุกอย่างสิ้นสูญ ช่วงเวลาหนึ่งก็จักกลายเป็นอดีต โดยพลัน

การที่ได้รู้จักใครซักคน วันพรุ่งนี้ คน ๆ นั้น ก็ยังคงเป็นปัจจุบันในกาลที่ผ่านเลย  เหมือนไม่อาจมีสิ่งใด มาแปรผัน จุดต่าง ที่เปลี่ยนแปลงแห่งวัฎจักร กาลเวลา จากวัน ล่วงเดือน จากเดือนนานนับจบขัย ความสัมพันธ์ที่คงมั่น จุดยืน อดีตและปัจจุบัน ดูจะมิต่างกัน บนเส้นทางมิตรภาพ และความผูกพัน
...แต่ทุกสิ่งย่อมมีจุดสิ้นสุด...

เมื่อนิทานเรื่องหนึ่ง เดินทางไกลมาถึงจุด เจ้าชายและเจ้าหญิงอาจมิได้ครองคู่กัน การพลัดพรากจากลา เป็นดั่งสายลมที่ปลายปากกา มิอาจเขียนแต่ง แต่มีอยู่จริง เรื่องราว ที่เคยเป็นปัจจุบัน กลับกลายเป็นอดีต ดั่งปิดปกหนังสือหน้าสุดท้าย ความทรงจำ และประสบการณ์ จึงจักดำรงหน้าที่ แห่งกาลอดีต ตลอดไป.....


ขอบคุณที่มา  ::  ไดอารี่เงา: ช่วงหนึ่ง.. ของกาลเวลา

เมื่อนาฬิกาหยุดเดิน

นาฬิกา



ใครที่ผูกนาฬิกาบ่อยๆ จนติด
คงจะรู้สึกได้ . . . ในวันที่นาฬิกาหายไปจากข้อมือ 

ฉันเอง . . . ก็เป็นคนที่ผูกนาฬิกามาตลอด . . .
หากวันไหนลืมจะรู้สึกว่า . . . บางอย่างมันหายไป
มันว่างๆ และขัดเขินทุกครั้ง . . . ที่ยกข้อมือที่ว่างเปล่าขึ้นมาดู

เมื่อราวสองปีก่อน . . . ที่นาฬิกาเรือนโปรดของฉันพัง
ด้วยความไม่มีสติ . . . ฉันเอาข้อมือไปทุบผนังห้องน้ำเล่นๆ
โชคร้าย . . . ที่มือไม่เป็นอะไร
นาฬิกาต่างหากที่พินาศ . . . กระจกร้าว

ฉันถอดมันออกวางไว้ . . . ไม่ยอมเอาไปซ่อม
ด้วยว่า . . . รู้สึกถึงภาพเก่า และวันเวลาที่เก็บอยู่ในนั้น
ฉัน . . . เลิกใส่นาฬิกา และพบว่าตัวเองมีอาการยกข้อมือเก้อ
เก้อ . . . อยู่เป็นเวลานานพอดู

ความเคยชินของคนเรา เกิดขึ้น . . .
เมื่อเราทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นประจำ . . . ในระยะเวลานานพอควร
และยังคงความเคยชินอยู่
เมื่อสิ่งหนึ่งสิ่งนั้นหายไปในระยะแรกๆ 

จนเวลาผ่านไปนาน . . .
ฉันจึงเริ่มชิน . . . กับการแอบมองเข็มนาฬิกาบนข้อมือคนอื่น
เวลาผ่านไป พร้อมกับบาดแผลที่เริ่มเลือนหาย
ฉันคิดโง่ๆ ว่า . . .
ภาพเหล่านั้นจะตายไปพร้อมนาฬิกา แต่มันไม่ใช่

ฉันตัดสินใจซ่อมนาฬิกา
เมื่อมันกลับมาวันแรกๆ ฉันรู้สึกไม่คุ้น
จนถึงตอนนี้ . . . ก็ยังไม่คุ้น
ฉันยังแอบมอง . . . นาฬิกาบนข้อมือคนอื่น อยู่เหมือนเดิม
ฉันรู้สึกเขินแกมขำทุกครั้ง . . . ที่แอบมองข้อมือคนอื่น
ทั้งๆ ที่มีนาฬิกาอยู่บนข้อมือของตัวเอง

ฉันนึกถึงใครบางคน . . . ที่มักจะปรากฏตัวพร้อมรอยยิ้มเสมอๆ
ในบางช่วง ที่เขาหายหน้าหายเสียงไป . . .
ฉันรู้สึกขาดๆ แต่ก็เพียงชั่วเวลาสั้นๆ
ในบางครั้ง . . . ฉันพอใจที่มีเขาอยู่ใกล้ๆ
ในวันที่ไม่แข็งแรง . . .

แต่ . . . ในบางครั้งฉันกลับรู้สึกพอใจ
กับการได้เดินคนเดียว . . . เดี่ยวๆ ในวันว่าง
หรือเป็นความผูกพัน หรือเป็นเพียงความเคยชิน
หัวใจฉัน . . . ยังตอบคำถามได้ไม่กระจ่างชัดนัก 

"คนเราจะรู้ค่าก็ต่อเมื่อ . . . สูญเสียสิ่งนั้นไป"
ฉันมักได้ยินใครๆ พูด
แต่ . . . ฉันกลับคิดว่า หากฉันยังมองไม่เห็น
ฉันน่าจะยอมเสียไปดีกว่า . . . เพื่อให้ซึ้งถึงคุณค่านั้น
ฉัน . . . ไม่อยากเอาเปรียบเขา
หากจะรั้งเขาไว้ด้วยความคุ้นเคย ที่ไม่ใช่ความผูกพัน
ฉัน . . . ไม่อยากโกหกตัวเอง
หากจะรั้งเขาไว้ . . . ด้วยความไม่แน่ชัด

ฉันมีคำถาม . . . ที่ยังขบไม่แตกกับคำว่า . . .
ผูกพัน หรือว่าจะเป็นแค่คุ้นเคย
บางที . . . มันอาจจะเป็นการดี
หากฉันจะอยู่ห่างๆ หรือตัดขาด
เพื่อให้รู้จัก . . . หัวใจของตัวเองมากขึ้น
กับใครบางคน . . . ที่ขาดหายไปจากชีวิต

อาจเป็นเหมือน . . . นาฬิกาที่ขาดสาย
อาจรู้สึกแปลบๆ และมองหากับการหายไปในช่วงแรก
แต่ไม่นาน . . . คงจะชิน

 credit : zazana.com

วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

บทความซึ้งๆ ให้กำลังใจ กับความสุขจากจินตนาการ

บทความซึ้งๆ



ชาย 2 คน ป่วยหนักทั้งคู่ 
และเผอิญอยู่โรงพยาบาลเดียวกัน ในห้องเดียวกัน ชายคนแรก จะต้องลุกขึ้น นั่งบนเตียงวันละ 1 ชั่วโมงทุกบ่าย เพื่อให้ของเหลวไม่ท่วมปอด ในขณะที่ชายคนที่สองจะต้องนอน อยู่บนเตียงตลอดเวลา 

ชายคนแรกได้นอนติดหน้าต่างซึ่งมีอยู่บานเดียวในห้องนั้น ทั้งสองคนใช้เวลาส่วนใหญ่ พูดคุยกัน ในเกือบทุกเรื่อง ทั้งเรื่องครอบครัว ภรรยา บ้าน ที่ทำงาน ตอนไปเกณฑ์ทหาร เวลาไปเที่ยวพักร้อน.... 

ช่วงเวลา 1 ชั่วโมงทุกๆ บ่าย เมื่อชายคนแรกได้ลุกขึ้นนั่งนั้น 

เขาจะเล่าให้ชายคนที่สองฟังถึงสิ่งต่างๆ ที่เขาได้เห็นจากหน้าต่างบานนั้น นานวันเข้า โดยไม่รู้ตัว ชายคนที่สองก็รอคอยช่วงเวลา 1 ชั่วโมงนั้นทุกวัน 
เพราะเป็นช่วงเวลา ที่เขา จะได้รับรู้ถึงความสนุกสนาน ความรื่นเริงและสีสันของโลกภายนอก 
นอกห้องของคนป่วย ที่เขาต้องทน นอนอยู่เฉยๆ 
มองจากหน้าต่าง จะมีสวนสาธารณะ ซึ่งตรงกลางมีบึงใหญ่ มีเป็ดและหงส์ว่ายน้ำไปมา 
เด็กๆ ก็มาเล่นเรือ ลำเล็กๆ ที่บึงนี้ รอบๆ สวนเต็มไปด้วยแปลงดอกไม้หลากสีสัน 
คู่รักมาเดินเล่นพูดคุยกันอย่างมีความสุข มองออกไปไกลๆก็จะเห็นเส้นขอบฟ้า 
ที่ตัดกับตึกระฟ้าของเมือง ทุกๆ ครั้งที่ชายคนแรกบรรยายสิ่งที่เขาได้เห็นจากหน้าต่างนั้น 

ชายคนที่สองก็จะหลับตา และจินตนาการ ถึงภาพต่างๆ ไปด้วยเสมอ 
แม้กระทั่งในบ่ายวันหนึ่งที่ชายคนแรกเล่าให้ฟังว่า 
มีขบวนพาเหรดผ่านไปชายคนที่สองก็เห็นภาพผู้คนในขบวนพาเหรดในชุดหลากสีสัน 
เดินตามจังหวะเพลงอย่างสนุกสนาน แม้ว่าเขาจะไม่ได้ยินเสียงเพลงเลยแม้แต่น้อย 
เวลาผ่านไป เช้าวันหนึ่งเมื่อพยาบาลจะเข้ามาเช็ดตัวตามปกติก็พบว่า 
ชายคนแรกได้จากไปแล้ว อย่างสงบ 

ไม่นานนัก ชายคนที่สองก็ได้ขอร้องกับพยาบาลให้เขาย้ายไปนอนติดกับหน้าต่างแทน 
ซึ่งเธอก็ไม่ขัดข้อง เมื่อย้ายเตียงเรียบร้อยแล้ว ชายคนที่สองก็ค่อยๆ ขยับตัว 
ถึงแม้จะเจ็บเขาก็พยายามยันข้อศอกขึ้น 
เขาต้องการจะเห็นสิ่งที่เขาได้รับฟังมาตลอดจากชายคนแรก สิ่งต่างๆ 
ที่อยู่นอกหน้าต่างนั้น ในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ เขามองออกไปนอกหน้าต่าง 
สิ่งที่เขาเห็นคือกำแพงที่ว่างเปล่า 

เขาไม่รีรอที่จะถามกับพยาบาลด้วยความสงสัยว่าทำไมชายคนแรกถึงได้เล่าให้เขาฟัง 
ถึงสิ่งสวยงามต่างๆ ที่เกิดขึ้นนอกหน้าต่างนั้นตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน 
พยาบาลบอกให้เขาทราบว่าชายคนแรกนั้นตาบอดและเขามองไม่เห็นอะไรเลย 
แม้กระทั่งกำแพงนั้น 

"บางทีเขาแค่อาจจะอยากคอยให้กำลังใจคุณนะคะ"



credit : zazana.com

comment